ผ่านมาแล้วกว่า 35 ปีนับตั้งแต่ BACK TO THE FUTURE ซีรี่ส์ภาพยนตร์สุดล้ำของ โรเบิร์ต เซเม็กคิส เข้าฉายครั้งแรกในปี 1985 อย่างไรก็ตามกาลเวลากว่า 3 ทศวรรษกลับไม่ได้ทำให้มนต์ขลังของมันเสื่อมลงไปเลย ตรงกันข้าม BACK TO THE FUTURE ยังคงเป็นซีรี่ส์ภาพยนตร์ที่มีกลุ่มแฟนบอยเหนียวแน่น ถึงขั้นที่ว่ามีการจัดงานเฉลิมฉลองจนกลายเป็นเทศกาลประจำปีไปแล้ว

นอกจากเนื้อเรื่องในจอจะสนุกตื่นเต้นเร้าใจแล้ว อิทธิพลของ Back to the Future ยังส่งผ่านทะลุหน้าจอออกมาสู่โลกแห่งความจริงในรูปแบบสินค้าด้วย หนึ่งในนั้นคือรองเท้า Nike MAG ที่เราหยิบยกมากล่าวถึงในครั้งนี้

ติดตามเรื่องราวของรองเท้าในจินตนาการที่กลายเป็นความจริง และที่สำคัญยังกลายเป็น “ของมันต้องมี” ของบรรดานักสะสม ถึงแม้ราคาของมันจะแพงระยับได้ที่ Main Stand

ภาพยนตร์ทำนายโลกอนาคต
Back to the Future คือ ซีรี่ส์ภาพยนตร์ไตรภาค จากห้วงจินตนาการอันลึกล้ำของ โรเบิร์ต เซเม็กคิส และ บ็อบ เกล (Bob Gale) ผู้เขียนบทร่วม โดยเข้าฉายในช่วงปี 1985-1990 ที่กวาดเงินรวมกันได้สูงถึง 970 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากทุนสร้างรวมเพียง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังไม่นับรวมการขายของเล่นและลิขสิทธิ์สินค้าต่าง ๆ ที่ตามมาหลังจากนั้น เรียกได้ว่าเป็นซีรี่ส์ภาพยนตร์ที่สร้างความมั่งคั่งให้กับทีมผู้สร้างกันอย่างถ้วนหน้า

ทั้ง ๆ ที่ในตอนแรก โรเบิร์ต ตั้งใจจะสร้างมันออกมาแค่ภาคเดียว ส่วนตอนจบในภาคแรกที่เหมือนจะจบแบบค้างคานั้น ก็เป็นแค่มุกที่ตัวเขาใส่ไปหยอกล้อกับผู้ชมเท่านั้น ไม่ได้มีการวางแผนในการสร้างภาคต่อแต่อย่างใด เหตุผลสั้น ๆ เพียงอย่างเดียวที่ทำให้ Back to the Future กลายเป็นภาพยนตร์ไตรภาคก็คือ

ภาพยนตร์ภาคแรกมันประสบความสำเร็จเกินไป” และเมื่อเป็นเช่นนี้ โรเบิร์ต ก็ไม่อาจต้านทานคำขอร้องของทางสตูดิโอรวมถึงแฟนบอยทั่วโลกได้

นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกเร้าใจ การแสดงที่พริ้วไหวไปกับเรื่องราวของ ไมเคิล เจ ฟ็อกซ์ (Michael J. Fox) ในบทบาท มาร์ตี้ แมคฟลาย รวมถึงตัวละครอื่น ๆ แล้ว ยังมีอีก 2 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Back to the Future ขึ้นแท่นกลายเป็นภาพยนตร์ระดับตำนาน

หนึ่ง … นี่คือภาพยนตร์ที่เหมือนเป็นขุมทรัพย์แห่งวัฒนธรรมป๊อป (Pop Culture) ก็ว่าได้ ก่อนที่โลกจะรู้จัก Ready Player One ผลงานของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก … ซีรี่ส์ภาพยนตร์ชุดนี้นี่แหละคือบรรพบุรุษที่กรุยทางมาก่อน เรียกได้ว่าแทบทุกฉาก ทุกซีน มีอีสเตอร์เอก (Easter Egg – จุดเชื่อมโยงถึงเรื่องต่าง ๆ มีที่มาจากไข่วันอีสเตอร์ ที่จะถูกซ่อนให้คนไปหาเอง) ซ่อนอยู่ คอยเป็นเครื่องบริหารสายตาให้เหล่าผู้ชมได้คอยสังเกต

ปัจจัยประการที่สองคือ “การทำนายอนาคต” เนื่องจากนี่คือภาพยนตร์ที่ว่าด้วยย้อนเวลากลับไปในอดีต แต่ในบางครั้งก็มีการเดินทางข้ามเวลาสู่อนาคตด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงได้เห็นวิสัยทัศน์ของ โรเบิร์ต ว่าเขามองโลกในอนาคตไว้เป็นอย่างไร หน้าตาแบบไหน … ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อยที่เขาคาดการณ์ได้ถูกต้องเสียด้วย ราวกับได้เดินทางข้ามเวลามาดูด้วยตาตัวเองจริง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของโดรนที่สามารถถ่ายภาพ รวมถึงจูงสุนัขได้ในฉากงาน Expo Internet LA 2015, การจ่ายเงินที่สามารถทำผ่านโทรศัพท์มือถือได้ ทั้ง ๆ ที่ในยุค 80s ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายอย่าว่าแต่จ่ายเงินเลย แค่พกพาใส่กระเป๋ากางเกงยังแทบเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ, แว่นตาอัจฉริยะที่สามารถฉายวิดิโอให้ดูเมื่อสวมใส่ได้ ที่ดูจะคล้ายคลึงกับ Google Glass ในปัจจุบันเสียเหลือเกิน

เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีคำทำนายของ โรเบิร์ต อีกมากมายที่เขาสร้างสรรค์ลงไปในเรื่องราว แต่หนึ่งสิ่งที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยในบทความนี้ คือรองเท้า Nike MAG ที่ปรากฏออกมาใน Back to the Future II ภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ของซีรี่ส์

เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นตอนที่ตัวละครเอก มาร์ตี้ แมคฟลาย เดินทางข้ามเวลาสู่โลกอนาคตในปี 2015 ก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้สวมใส่รองเท้า Nike MAG แต่สิ่งที่ล้ำไปกว่านั้น คือรองเท้าคู่ที่ปรากฏอยู่ในเรื่องมาพร้อมกับเทคโนโลยีสุดล้ำ “ผูกเชือกได้เอง”

ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนที่ โรเบิร์ต กับ บ็อบ เขียนบทฉากนี้ขึ้นมา เขามีจินตนาการแบบไหน หรือใช้เหตุผลอะไรมารองรับสนับสนุน … แต่ที่แน่ ๆ นี่เป็นอีกครั้งที่การทำนายอนาคตของพวกเขาแม่นราวกับจับวาง

จากรองเท้าในจอสู่โลกความจริง
ถึงแม้ว่าทุกคนจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการผูกเชือกได้เองของรองเท้า Nike MAG ในภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future II จะเป็นการใช้เทคนิคถ่ายทำเนรมิตรให้มันเกิดขึ้น แต่การที่มันเปรียบเสมือนมรดกตกทอดมาจากซีรี่ส์ภาพยนตร์ระดับตำนาน เมื่อมีการนำออกมาประมูลมูลค่าของมันก็

หลังจากที่มีการถ่ายทำเสร็จสิ้นไปแล้ว กาลเวลาก็ผ่านไปนับ 30 ปี ก่อนที่จะมีการนำ Nike MAG คู่ที่ตัวละคร มาร์ตี้ แมคฟลาย สวมใส่ในเรื่องจริง ๆ มาประมูลในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าสภาพของมันจะค่อนข้างทรุดโทรมด้วยเหตุผลเรื่องเวลา เต็มไปด้วยคราบเหลือง อีกทั้งยังสูญหายเหลือเพียงข้างเดียว แต่สุดท้ายก็มีผู้ประมูลมันไปครอบครองในราคาที่สูงถึง 92,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.7 ล้านบาท

นอกจากรองเท้าที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ถ่ายทำแล้ว ในปี 2011 ทาง Nike ก็ได้มีการผลิตรองเท้ารุ่น MAG นี้ออกมาวางจำหน่ายให้ผู้คนทั่วไปได้จับจองเป็นเจ้าของกันจริง ๆ โดยผลิตออกมาในจำนวนจำกัดเพียง 1,500 คู่ พร้อมกับแปะราคาป้ายไว้สูงถึงคู่ละ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 110,000 บาท

ถึงราคาของมันจะสูงลิบขนาดนี้ แต่ใครที่จับจองเป็นเจ้าของได้ทันต้องบอกว่าคุ้มเกินคุ้ม เพราะเมื่อเทียบกับราคาปัจจุบันในตลาดรีเซลต้องบอกว่าดูถูกไปเลย เพราะถ้าคุณอยากจับจองเป็นเจ้าของในตอนนี้อาจต้องควักกระเป๋าถึง 350,000 บาท หรือ 3 เท่าของราคาป้ายเลยทีเดียว

หลังจากนั้นในปี 2016 ทาง Nike ก็ได้ผลิตรองเท้ารุ่นนี้ออกมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้ลิมิเต็ดยิ่งกว่าเดิมเสียอีกเพราะผลิตออกมาเพียง 89 คู่ และไม่ได้มีการวางจำหน่ายให้ทุกคนสามารถซื้อหาได้ การที่จะเป็นเจ้าของรองเท้าในล็อตนี้ได้นั้นจำเป็นต้องผ่านกิจกรรมมากมาย ที่ต้องอาจจะต้องใช้ดวงเข้ามาเกี่ยวข้อง

ปัจจุบัน Nike MAG 2016 ถือเป็นหนึ่งในรองเท้าที่มีราคาซื้อขายกันสูงที่สุดในโลก โดยคู่ที่มีราคาสูงที่สุดถูกนำมาประมูลในงานกาล่าประจำปีมูลนิธินักออกแบบของ ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ (Tinker Hatfield) และผู้ที่ชนะการประมูลก็คว้ามันไปได้ในราคา 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6 ล้านบาทพอดิบพอดี

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าราคาของมันจะสูงขนาดไหน … แต่มันก็ยังไม่สามารถผูกเชือกได้เองจริง ๆ

รองเท้าผูกเชือกเอง
ในภาพยนตร์ Back to the Future II ได้ทำนายว่าโลกจะมีรองเท้าที่สามารถผูกเชือกได้เองในช่วงปี 2015 … ก็ถือว่าเกือบแม่น แต่ในความเป็นจริงแล้วกว่าโลกจะรองเท้าที่สามารถทำแบบนั้นได้ต้องรอถึงปี 2019 เลยทีเดียว

ปี 2019 Nike ได้เปิดตัวรองเท้าบาสเก็ตบอลในชื่อรุ่น Nike Adapt BB และ Nike Adapt Huarache ออกมา สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เนื่องจากนี่คือรองเท้าคู่แรกของโลกที่มีนวัตกรรมผูกเชือกรองเท้าได้เอง

“Nike Adapt คือการที่เรานำประสิทธิภาพมาพบกับการเชื่อมต่อ”

“เป็นครั้งแรกที่เราสามารถมอบความสะดวกสบายและการป้องกันแบบไดนามิก โดยเป็นการขับเคลื่อนโดยระบบไร้แรงเสียดทานซึ่งจะช่วยให้รองเท้ามีสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เราได้มอบประสบการณ์แห่งอนาคตและการสวมใส่ที่สบายรวมไว้อยู่ในรองเท้าคู่เดียว” แบรนดอน เบอร์โรห์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนวัตกรรมนวัตกรรมดิจิทัลระดับโลกของ ไนกี้ กล่าว

แน่นอนว่าจุดเด่นที่สุดของ Nike Adapt คือการที่รองเท้าสามารถผูกเชือกได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเกิดจากเทคโนโลยีที่เรียกว่า Power Lace โดยเพียงแค่กดปุ่มบริเวณลิ้นรองเท้าเพียงครั้งเดียว หรือสั่งการจากแอปพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือ เชือกรองเท้าก็จะผูกให้เองโดยอัตโนมัติ อีกทั้งผู้สวมใส่ยังสามารถปรับระดับความคับ-หลวม ได้ตามต้องการอีกด้วย

ในเรื่องของนวัตกรรม Nike Adapt ชูจุดเด่นด้วย FitAdapt ที่ทำให้ผู้ใช้งานเชื่อมต่อรองเท้าเข้ากับแอปพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือได้ และสามารถควบคุมการใช้งานได้จากในนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกโหมดของรองเท้า ที่มีอยู่ด้วยกัน 2 โหมด คือโหมดที่สวมใส่สำหรับการออกกำลังกาย และโหมดสำหรับใส่ในวันสบาย ๆ ผ่อนคลายเท้า หรือการที่ตัวรองเท้าจะปรับรูปทรงให้กระชับเข้ากับเท้าของผู้สวมใส่โดยอัตโนมัติ

ยิ่งไปกว่านั้น หากการใช้งานรองเท้าผ่านแอปพลิเคชั่น Nike Adapt บนโทรศัพท์มือถือยังยุ่งยากไป ผู้สวมใส่สามารถสั่งการผ่านระบบเสียงอย่าง Siri หรือ Google Assistant ได้เช่นกัน หรือแม้กระทั่งการเชื่อมต่อเข้ากับ Apple Watch ก็สามารถทำได้โดยสะดวก

หลังจากได้ทำการช็อคโลกด้วย Nike Adapt BB และ Nike Adapt Huarache กันไปแล้ว ในปีต่อมา Nike ก็ยังคงตอกย้ำเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัว Nike Adapt Auto Max

Air Max จัดเป็นหนึ่งในซีรี่ส์รองเท้าที่คลาสสิคที่สุดของ Nike ก็ว่าได้ เนื่องจาก Air Max 1 รองเท้ารุ่นแรกในซีรี่ส์ออกวางจำหน่ายครั้งแรกตั้งแต่ปี 1987 หรือกว่า 33 ปีที่แล้ว ซึ่งมันก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนทำให้มีรุ่นต่อ ๆ มาตามมาอีกเรื่อย ๆ มากมายจนไม่นิ้วไม่พอนับ โดยหัวเรือใหญ่คนสำคัญที่อยู่คู่กับซีรี่ส์นี้มาตลอดก็คือ ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ ดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกมากประสบการณ์

ดังนั้นแน่นอนว่าสำหรับรองเท้ารุ่นใหม่แกะกล่องอย่าง Nike Adapt Auto Max ซึ่งถือเป็นรุ่นที่จะเปิดมิติใหม่ให้กับซีรี่ส์ Air Max ฮาตฟิลด์ ก็รับหน้าที่ออกแบบเหมือนเช่นเคย

โดยถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นรองเท้าที่มีนวัตกรรมล้ำยุค แต่ ฮาตฟิลด์ ก็ไม่ได้ทิ้งดีเอ็นเอความเป็น Air Max ไปเลย ตรงกันข้ามเขากลับใส่มันเข้ามาอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยการนำรูปลักษณ์ รวมถึงกลิ่นอายของรุ่น Air Max 90 และ Nike MAG มาเป็นแรงบันดาลใจหลักในการสร้างสรรค์ Nike Adapt Auto Max พร้อมปรับรูปโฉมให้ทันสมัยโฉบเฉี่ยวยิ่งกว่าเดิม นอกจากนั้น ฮาตฟิลด์ ยังทำให้พื้นรองเท้าหนาขึ้นเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า Nike Adapt Auto Max คือรองเท้าที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างยุคสมัยที่แตกต่างเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง

นอกจากนวัตกรรมสุดล้ำที่สืบทอดมาจากรุ่นก่อนหน้าแล้ว Nike Adapt Auto Max มาพร้อมน้ำหนักที่เบา มีตาข่ายระบายอากาศอยู่บริเวณรองเท้าช่วยทำให้ทุกการสวมใส่รู้สึกโล่งสบาย นอกจากนั้นยังมีแผ่น TPU ห่อหุ้มเท้า และเทคโนโลยี Underfoot ซึ่งจะช่วยให้การรองรับน้ำหนักเป็นไปอย่างนุ่มนวล

ปิดท้ายด้วยระบบแสงบริเวณพื้นรองเท้า ที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกเปลี่ยนได้ตามต้องการ โดยทาง ไนกี้ ก็มีให้เลือกทั้งหมดถึง 13 โทนสีด้วยกัน ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกเพศ ทุกวัย ทุกสไตล์ สมกับเป็นรองเท้าแห่งโลกอนาคตอย่างแท้จริง

ปัจจุบัน Nike Adapt Auto Max มีด้วยกันทั้งหมด 3 สีคือ Motherboard, Infared, และ Pure Platinum โดยวางจำหน่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมาทางเว็บไซต์ของ ไนกี้ ในราคาคู่ละ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 12,000 บาท แต่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่ไม่มีการเปิดจำหน่ายในโซนประเทศไทย

อย่างไรก็ตามถ้าใครสนใจรองเท้าแห่งอนาคตคู่นี้จริง ๆ ก็คงไม่เป็นเรื่องยากเกินไปในการหาซื้อในตลาดรีเซลล์ ซึ่งราคาในตลาดรีเซลล์ปัจจุบันตกอยู่ที่คู่ละประมาณ 500-600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าราคายังพุ่งขึ้นไปไม่สูงมาก แต่เชื่อว่าในอนาคตมันจะแพงขึ้นกว่านี้มากอย่างแน่นอน